วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

สาระน่ารู้การเขียนรายงานที่ดี

โดย นางสาวนฤมล แก้วเนียม


การเขียนรายงานที่ดี
         การเขียนรายงาน คือ การเขียนรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของบุคคลในหน่วยงาน ซึ่งรายงานแต่ละประเภทนั้น ก็จะมีวิธีการเขียนที่แตกต่างกันออกไป รายงานจึงเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญในการบริหารงานและการที่จะเสนอการเขียนรายงานนั้นให้ออกมาอย่างมีประสิทธิภาพสามารถผลิตออกมาได้อย่างรวดเร็วนั้น ควรที่จะมีการวางแผนกำหนดเวลาเริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดของแต่ละรายงานไว้ด้วย
 
  ความหมายและความสำคัญของรายงาน

      รายงาน คือ การเสนอรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของบุคคลของหน่วยงาน เป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญในการบริหารงานทั้งในหน่วยงานราชการและธุรกิจเอกชน เพราะรายงานจะบรรจุข้อมูลพื้นฐานที่ช่วยให้บุคลากรของหน่วยงานทราบนโยบาย เป้าหมาย ผลการปฏิบัติงาน ปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ในการดำเนินงาน ซึ่งการทำรายงานมีจุดมุ่งหมายคือ

จุดมุ่งหมายการเขียนรายงาน          
          การเขียนรายงาน ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองจากแหล่งความรู้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ สิ่งพิมพ์อื่นๆ วิทยุ โทรทัศน์ ฯลฯ จากการที่ปัจจุบันการเรียนการสอนมักเน้นให้ผู้เรียนมีการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองมากขึ้นทั้งนี้เพื่อให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีความรับผิดชอบในการทำงาน ผู้สอนจึงมักมอบหมาย หรือกำหนดให้ผู้เรียนเสนอผลงานการเรียนรู้ออกมาในรูปแบบของรายงาน ซึ่งมีจุดมุ่งหมายดังนี้
        1. เพื่อให้ผู้เรียนมีโอกาสศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง มีความรู้กว้างขวาง และลึกซึ้งกว่าการศึกษาจากตำรา หรือ จกห้องเรียนเพียงอย่างเดียว
        2. เพื่อให้ผู้เรียนมองเห็นแนวทางในการศึกษาหาความรู้ และรู้จักแหล่งความรู้ต่างๆ
     3.เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักใช้วิจารณญาณของตนเอง มีความคิดมีเหตุผล และสามารถรวบรวมข้อมูลอย่างมีหลักฐาน
       4. เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนรักการอ่าน และการค้นคว้าหาความรู้ใหม่ๆ
       5. เพื่อให้ผู้เรียนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
    6.เพื่อฝึกให้ผู้เรียนมีทักษะในการใช้ภาษา ถ่ายทอดความคิดของตนเองให้ผู้อื่นอ่านเกิดภาพพจน์ และจินตนาการ
       7. เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจรูปแบบ ขั้นตอนการเขียนรายงานที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นพื้นฐานของการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น

ประเภทของรายงาน
โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
   1. รายงานทั่วไป
   2. รายงานทางวิชาการ
          1. รายงานทั่วไป หมายถึง รายงานข้อเท็จจริง หรือข้อคิดเห็นของบุคคล องค์การ สถาบันต่างๆ ซึ่งได้ดำเนินไปแล้ว หรือกำลังดำเนินอยู่ หรือจะดำเนินต่อไป เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาผู้ร่วมงาน หรือผู้สนใจทราบ ได้แก่
         1.1 รายงานทางราชการ หมายถึงข้อเขียนที่เป็นคำกล่าวรายงานในพิธีของทางราชการ เช่น พิธีเปิดการสัมมนา พีเปิดการแข่งขัน พิธีการประกวด ฯลฯ เป็นการรายงานให้ทราบถึงความเป็นมาของงาน การดำเนินงาน ผู้ร่วมงาน ระยะเวลาของงาน จำนวนผู้ร่วมงาน และลงท้ายด้วยการเชิญประธานในพิธีกล่าวเปิดงาน
         1.2 รายงานการประชุม หมายถึง รายงานที่เกิดจากการประชุม เรียกว่ารายงานบันทึกการประชุม ทุกครั้งที่หน่วยงานมีการประชุม จะต้องมีการบันทึกเรื่องราวต่างๆ ที่องค์ประชุมกล่าวถึง ตั้งแต่เริ่มประชุม จนสิ้นสุดการประชุม และรายงานการประชุมนี้ต้องรายงานให้ที่ประชุมรับรองในการประชุมครั้งต่อไป
        1.3 รายงานข่าว หมายถึง ข้อเขียนที่เขียนขึ้น หรือพูดขึ้น เพื่อรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ข่าวที่รายงานต้องเป็นเรื่องจริง และมีหลักฐานยืนยันได้
      2. รายงานทางวิชาการ หมายถึง การเสนอข้อเท็จจริงที่ได้จากการศึกษาค้นคว้า หรือวิจัยอย่างมีระบบของบุคคล กลุ่มบุคคล หน่วยงาน ได้ข้อเท็จจริงอย่างไรก็รายงานไปอย่างนั้นตามความเป็นจริง รายงานทางวิชาการอาจเป็นรายงานการค้นคว้าทดลอง หรือเอกสารการสำรวจการวิจัย ซึ่งนิยมในปัจจุบัน
          รายงานทางวิขาการแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ                  1 รายงาน (Report)
                  2 ภาคนิพนธ์ (Term paper)
                  3 วิทยานิพนธ์ หรือปริญญานิพนธ์ (Thesis or Dissertation)
        2.1 รายงาน (Report) ได้แก่
               2.1.1 กิจกรรมอย่างหนึ่งในการศึกษา และเป็นส่วนหนึ่งในการประเมินผลการศึกษา
               2.1.2 เรื่องที่เรียบเรียงขึ้นตามแบบแผนที่สถาบันนั้นกำหนด
              2.1.3 ผลการศึกษาค้นคว้าโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง หรือหลายวิธี เช่น การสังเกต การทดลอง การสำรวจ ฯลฯ
               2.1.4 รายงานที่ผู้สอนกำหนดให้ผู้เรียนทำเป็นรายบุคคล หรือทำเป็นกลุ่มตามความเหมาะสม
              2.1.5 วิธีที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า หรือความสั้น ยาวของรายงาน ย่อมแตกต่างไปตามหัวข้อเรื่อง
       2.2 ภาคนิพนธ์ (Term paper) ได้แก่คำอธิบายของรายงาน 5 ข้อข้างต้นและ
             2.2.1 ภาคนิพนธ์เป็นรายงานทางวิชาการที่ครอบคลุม สัมพันธ์ กับเนื้อหาทั้งหมดของวิชาที่เรียน หรือที่ยังไม่ได้เรียน และผู้สอนมอบหมายให้ผู้เรียนค้นคว้าเพิ่มเติม
             2.2.2 ภาคนิพนธ์อาจไม่จำเป็นต้องแสดงความคิดริเริ่มในแนวการค้นคว้าวิจัยที่เป็นของผู้เรียน ซึ่งต่างกับ ลักษณะของปริญญานิพนธ์
            2.2.3 ภาคนิพนธ์มุ่งให้ผู้เขียนแสดงความสามารถโดยเฉพาะในหัวข้อ หรือเรื่องราวที่ไม่ได้ศึกษากันอย่างลึกซึ้งในชั้นเรียน ในเรื่องต่อไปนี้
             - ความสามารถที่จะค้นหา และรวบรวมข้อมูลจากห้องสมุด เพื่อ
ประกอบงานนั้นให้มีคุณค่ายิ่งขึ้น
             - ความสามารถที่จะเลือกเฟ้นข้อมูล ข้อเท็จจริง และความคิด โดย
นำเอาเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อเรื่องที่ต้องการศึกษามาใช้ให้มีคุณค่า
             - ความสามารถจัดระบบ เรียบเรียงข้อมูลด้วยภาษาที่ถูกต้อง ชัดเจน
ลำดับ ความคิดที่เป็นเหตุผล และดำเนินตามรูปแบบการเขียนที่สถาบันนั้นกำหนด
             2.2.4 ในรายวิชาหนึ่งๆ ผู้สอนอาจกำหนดให้ผู้เรียนทำแต่รายงาน หรือ
วิทยานิพนธ์หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง หรืออาจให้ทำทั้ง 2 อย่างก็ได้
ตามความเหมาะสม
       2.3 วิทยานิพนธ์ หรือปริญญานิพนธ์ (Thesis or Dissertation) ได้แก่
             2.3.1 รายงานการค้นคว้าวิจัยที่นิสิตปริญญาโท และปริญญาเอกต้องทำตาม
หลักสูตรของการศึกษา มี ปริมาณ และคุณภาพที่สูงกว่าภาคนิพนธ์
             2.3.2 ผลงานการศึกษาค้นคว้าวิจัย ใช้เวลาศึกษาค้นคว้าไม่น้อยกว่า 1 ปี
และผู้เขียนต้องรับผิดชอบในการเลือกหัวข้อเรื่อง และกำหนดขอบเขตที่ต้องศึกษาค้นคว้าให้ลึกซึ้งกว่าภาคนิพนธ์
             2.3.3 วิทยานิพนธ์ หรือปริญญานิพนธ์ในระดับปริญญาโท และปริญญาเอก
ต้องมีคุณภาพทางวิชาการที่สูงกว่ากันตามลำดับ

ส่วนประกอบของการเขียนรายงาน
    - หน้าปก อาจเป็นกระดาษแข็งสีต่าง ๆ
   - หน้าชื่อเรื่อง ควรเขียนด้วยตัวบรรจงชัดเจนถูกต้อง เว้นระยะริมกระดาษด้านซ้ายและขวามือให้เท่ากัน
    - คำนำ ให้เขียนถึงมูลเหตุจูงใจที่เขียนเรื่องนั้นขึ้น แล้วจึงบอกความมุ่งหมายและขอบเขตของเนื้อเรื่องในย่อหน้าที่สอง ส่วนย่อหน้าสุดท้ายให้กล่าวคำขอบคุณผู้ที่มีส่วนช่วยเหลือในการจัดทำการค้นคว้านั้นจนเป็นผลสำเร็จ
   - สารบัญ หมายถึง บัญชีบอกบท
   - สารบัญตาราง ให้เปลี่ยนคำว่า "บทที่" มาเป็น "ตารางที่"
   - สารบัญภาพประกอบ เพื่อเสริมคำอธิบายเนื้อเรื่องให้เข้าใจง่ายและสมบูรณ์มากขึ้น
  - ส่วนที่เป็นเนื้อเรื่อง ต้องลำดับความสำคัญของโครงเรื่องที่วางไว้ ถ้าเป็นรายงานขนาดยาวควรแบ่งเป็นบท
  - อัญประกาศ เป็นส่วนประกอบเนื้อเรื่องให้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ โดยนำข้อความที่ตัดมาจากคำพูดหรือข้อเขียนของคนอื่นมาเขียนไว้ในรายงานของตน
  - เชิงอรรถ คือ ข้อความที่ลงไว้ตรงท้ายสุดของหน้า เพื่อบอกที่มาของข้อความที่ยกมาหรืออธิบายคำ
  - ตารางภาพประกอบ ให้แสดงไว้ในส่วนของเนื้อเรื่องด้วย
  - บรรณานุกรม คือ รายชื่อหนังสือ สิ่งพิมพ์และวัสดุอ้างอิงทุกประเภทที่ผู้ทำรายงานใช้ประกอบการเรียนและการค้นคว้า
  - ภาคผนวก คือ ข้อความที่นำมาเพิ่มเติมในตอนท้ายของรายงาน เพื่อช่วยส่งเสริมให้ผู้อ่านเข้าใจยิ่งขึ้น
- ดรรชนี คือ หัวข้อย่อย หรือบัญชีคำที่นำมาจากเนื้อเรื่องในหนังสือ โดยจัดเรียงลำดับตั้งแต่ตัว ก-ฮ และบอกเลขหน้าที่คำนั้นปรากฎอยู่ในเรื่อง ดรรชนีจะช่วยผู้อ่านในกรณีที่ต้องการค้นหาคำหรือหัวข้อย่อย ๆ ได้อย่างรวดเร็ว

ส่วนต่าง ๆ ของรายงาน มี 3 ส่วน ดังนี้
          1. ส่วนหน้า ประกอบด้วย หน้าปก ใบรองปกหน้า (กระดาษเปล่า) หน้าปกใน หน้าคำนำ หน้าสารบัญ
           2. ส่วนกลาง ประกอบด้วย เนื้อเรื่อง เชิงอรรถ
           3. ส่วนท้าย ประกอบด้วย บรรณานุกรม ภาคผนวก ใบรองปกหลัง (กระดาษเปล่า) ปกหลัง
 
การเขียนส่วนต่าง ๆ ของรายงานแต่ละส่วน
           1. การเขียนปกรายงานและการเขียนหน้าปกใน
              1.1 การเขียนปก ให้เขียนชื่อเรื่อง และผู้เขียนรายงาน กลางหน้ากระดาษ ไม่ต้องใส่คำว่า ชื่อเรื่อง และผู้เขียนรายงาน
               1.2 การเขียนหน้าปกในให้เขียนโดยแบ่งเป็น 3 ส่วน ดังนี้
    ส่วนบน ให้เว้นระยะ 2 นิ้ว จากขอบกระดาษบนถึงบรรทัดแรกของรายงาน และเขียน ชื่อเรื่องของรายงาน ใส่เฉพาะชื่อเรื่องที่เขียนรายงาน ไม่ต้องใส่คำว่า ชื่อเรื่อง
      ส่วนกลาง เว้นจากส่วนบนลงมาประมาณ 2 บรรทัดใส่คำว่าโดย และชื่อผู้เขียนรายงาน ไม่ต้องใส่คำว่า ผู้เขียนรายงาน
     ส่วนล่าง ให้เว้นระยะ 1 นิ้ว จากขอบกระดาษล่างถึงบรรทัดสุดท้ายของส่วนล่าง บรรทัดแรกของส่วนล่างระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิชาใด ชั้นอะไร ภาคเรียนที่เท่าใด ปีการศึกษาใด ใครเป็นครูผู้สอน
2. การเขียนคำนำ
การเขียน “คำนำ” อยู่ห่างจากขอบกระดาษด้านบน 2 นิ้ว ผู้เขียนรายงานจะระบุวัตถุประสงค์ ขอบเขตของเนื้อเรื่อง หรือแนวการค้นคว้า และคำขอบคุณผู้มีส่วนช่วยเหลือให้ การค้นคว้ารวบรวม และเรียบเรียงรายงานนั้นให้สำเร็จลงด้วยดี เมื่อหมดข้อความแล้วลงชื่อผู้เขียน วัน เดือน ปี ที่เขียน ถ้าเป็นรายงานกลุ่มเขียนคำว่า คณะผู้จัดทำ หน้าคำนำมักนิยมใส่เลขหน้าในวงเล็บไว้ด้านล่าง
3. การเขียนสารบัญ การเขียน “สารบัญ” ผู้เขียนรายงานจะแบ่งเป็นบท เป็นตอนระบุเนื้อเรื่องที่ปรากฏในรายงาน เรียงตามลำดับ การเว้นระยะในการเขียนจะอยู่ห่างจากขอบกระดาษด้านบน 2 นิ้ว และข้อความในสารบัญ จะอยู่ห่างจากริมซ้ายของกระดาษเข้าไป 1.1 นิ้ว เริ่มตั้งแต่ คำนำ บท และ ชื่อของบท จนถึงส่วนท้าย คือบรรณานุกรม และภาคผนวก เลขหน้าทางด้านขวามือจะอยู่ห่างจากขอบขวาของกระดาษ 1.1 นิ้ว ผู้เขียนรายงานต้องทำรายงานเรียบร้อยแล้วจึงจะระบุเลขหน้าได้ว่า บทใด ตอนใด อยู่หน้าใด
การนำบัตรข้อมูลที่บันทึกตามโครงเรื่องมาเขียนเนื้อหาของรายงาน
     การเขียนเนื้อเรื่อง เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด เพราะผลการค้นคว้ารวบรวมทั้งหมดที่บันทึก ลงในบัตรบันทึกข้อมูลจะนำมาเรียบเรียงไว้ในส่วนนี้ เรียงตามลำดับโครงเรื่องที่ปรากฏในสารบัญ ครอบคลุมตั้งแต่บทแรกถึงบทสุดท้าย ในหน้าแรกของเนื้อเรื่องไม่ต้องใส่เลขหน้าเว้นจากขอบบนของหน้ากระดาษลงมา 2 นิ้ว ไว้กลางหน้ากระดาษ ทุกครั้งที่ขึ้นบทใหม่ไม่ใส่เลขหน้าเฉพาะหน้านั้นแต่ให้นับหน้าด้วย การเว้นระยะจากขอบล่างขึ้นมา ให้เว้น 1 นิ้ว จากขอบซ้ายของหน้ากระดาษเข้ามาเว้น 1.5 นิ้ว จากขอบขวาของหน้ากระดาษเข้ามา เว้น 1 นิ้ว ส่วนการย่อหน้าทุกครั้งให้เว้น 6 ช่วงตัวอักษร เขียนตัวที่ 7
การทำบรรณานุกรมท้ายเล่ม
     การลงบรรณานุกรม หากมีเอกสารทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศให้ลงภาษาไทยก่อน เรียงตามลำดับประเภท และในแต่ละประเภทเรียงตามลำดับอักษรผู้แต่ง หรือเรียงตามลำดับอักษรรวมกันไม่แยกประเภท
 ขั้นตอนการทำรายงาน
การเขียนรายงานมีขั้นตอนในการเขียนได้ดังนี้
      1. การกำหนดข้อเรื่อง
ต้องเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เรื่องที่ผู้ทำรายงานมีความรู้ความสามารถ และสามารถหาแหล่งความรู้ได้
     2. ขอบเขตของเรื่อง ก่อนที่จะทำการเขียนรายงานต้องทำการกำหนดขอบเขตของข้อมูลครอบคลุมทุกข้อของรายงาน แต่ละข้อต้องมีความสัมพันธ์กันอย่างดี การลำดับเนื้อหาสอดคล้องกัน
      3. แหล่งข้อมูล หรือแหล่งความรู้ ผู้เขียนรายงานจะต้องสำรวจแหล่งความรู้ที่จะใช้ศึกษาค้นคว้าเรื่องที่จะเขียนรายงาน อาจใช้วิธีการค้นคว้าจากหนังสือ หรือเอกสารในห้องสมุด การสัมภาษณ์ผู้ที่มีความรู้ในแขนงนั้นๆ การใช้แบบสอบถาม การทดลองปฏิบัติ หรือ การศึกษาดูงานด้วยตนเอง
 
สำรวจแหล่งข้อมูล         
      เพื่อเป็นการสะดวก และประหยัดเวลาในการค้นหาข้อมูลเพื่อที่จะทำรายงาน นอกจากจะค้นหาจากแหล่งสารนิเทศต่างๆ เช่น ห้องสมุด ศูนย์สารนิเทศ ศูนย์เอกสารสนเทศ สื่อโสตทัศน์และอื่นๆแล้ว การค้นหาข้อมูลในแหล่งสารนิเทศก็ควรรู้จักวิธีการต่างๆ และใช้เครื่องมือช่วยค้นเพื่อที่จะทำให้ได้ข้อมูลเร็วขึ้น ได้แก่
    1. บัตรรายการ
    2. ดรรชนี
    3. หนังสืออ้างอิง
    4. บรรณานุกรม
    5. บริการตอบคำถามและช่วยการค้นคว้า
    6. อ่านเพื่อจดบันทึก
การบันทึก หรือการจดโน้ต หมายถึงการบันทึก หรือจดเรื่องราวจากการบรรยายปาฐกถาจากการสอนของครู อาจารย์ จากวิทยุ โทรทัศน์ หรือการบันทึกสรุปย่อจากหนังสือ หรือสิ่งพิมพ์ต่างๆ เพื่อประกอบการค้นคว้า ทำรายงาน ซึ่งมีทั้งการจดบันทึกจากการอ่าน และบันทึกจากการฟังในการเขียนรายงาน การจดบันทึกจากการอ่าน ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งว่าเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งนี้เพราะสามารถใช้เป็นข้อมูลในการประกอบเนื้อหา สนับสนุนให้รายงานมีน้ำหนัก และสมบรูณ์ยิ่งขึ้น การอ่านเพื่อการจดบันทึกนั้น ตอนแรกควรอ่านอย่างคร่าวๆ เพื่อให้เข้าใจเนื้อหาโดยตลอด ไม่จำเป็นต้องอ่านทุกประโยค ทุกตัวอักษร เลือกอ่านเฉพาะที่สำคัญ และเกี่ยวกับเรื่องที่จะทำรายงาน อาจอ่านเฉพาะย่อหน้าแรก และย่อหน้าสุดท้าย เพราะประโยคสำคัญมักอยู่ตอนต้น และย่อหน้าสุดท้าย ซึ่งมักเป็นการสรุปเรื่อง จากนั้นจึงอ่านโดยตั้งคำถาม ว่าเราต้องการอะไรจากเรื่องที่อ่าน เช่น
ใครทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร ทำทำไม ผลเป็นอย่างไร สุดท้ายจึงอ่านโดยใช้วิจารณญาณ
ต้องอ่านอย่างละเอียดพิจารณาเนื้อหาว่ามีเหตุผลน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด ส่วนใดสำคัญพอที่จะนำมาอ้างอิงได้จากนั้นจึงจดบันทึก

การจัดบันทึก      

      เมื่ออ่านจนเข้าใจเนื้อหาสำคัญแล้ว ควรบันทึกรายละเอียดไว้เพื่อป้องกันเมื่อลงมือเขียนรายงาน จะไม่ต้องย้อนกลับไปอ่านใหม่ ในการจดบันทึกเนื้อหา ส่วนใหญ่มักบันทึกลงในบัตรขนาด 4 X 6นิ้ว หรือ 5 X 8นิ้ว หรือใช้กระดาษสมุดแบ่งครึ่งก็ได้ เลือกใช้ตามสะดวก โดยบันทึก
      1. หัวข้อเรื่อง บันทึกหัวข้อเรื่องที่ค้นได้ โดยเขียนไว้ที่มุมขวาของบัตร
      2. แหล่งที่มาของข้อมูล เช่น ชื่อผู้แต่ง ปีที่พิมพ์ ชื่อหนังสือ ครั้งที่พิมพ์ สถานที่พิมพ์
สำนักพิมพ์ และหน้าที่ปรากฏข้อความนั้น ตามแบบบรรณานุกรม เพื่อเป็นหลักฐานในการค้นคว้าเพิ่มเติมภายหลัง
     3. ข้อมูลที่บันทึก บันทึกเฉพาะเนื้อหาที่คิดว่าสำคัญ และเป็นประโยชน์ในการเขียนรายงาน และควรบันทึกให้ถูกต้องสมบรูณ์ที่สุด ไม่ควรใช้ตัวย่อโดยไม่จำเป็น เพื่อไม่ต้องเสียเวลากลับไปค้นคว้าใหม่ การบันทึกลงในบัตร หัวข้อเรื่องหนึ่งควรใช้บัตร 1 แผ่น ถ้าเนื้อหายาวไม่จบใน 1 บัตร ก็สามารถต่อแผ่นที่ 2,3... โดยเขียนหัวข้อเรื่อง และกำกับด้วยหมายเลขในทุกแผ่นใช้คลิบหนีบรวมไว้ด้วยกัน หรือเย็บมุมติดกันไว้ แบะควรบันทึกหน้าเดียว

วิธีจดบันทึก     

   ในการจดบันทึกเพื่อทำรายงาน อาจจดบันทึกด้วยวิธีหนึ่ง หรือหลายวิธีต่อไปนี้
      1. การจดบันทึกแบบย่อความ คือ การย่อเอาเฉพาะใจความสำคัญที่เกี่ยวกับรายงานแล้วนำมาเรียบเรียงใหม่ อาจใช้สำนวนของตนเองก็ได้ แต่ต้องให้ได้ใจความตามต้นฉบับเดิม
ภาษากับความมั่นคงของชาติเยาวลักษณ์ ญาณสภาพ. (2533). “ภาษากับความมั่นคงของชาติ” ใน ที่ระลึกพิธีประกาศเกียรติคุณครูภาษาไทยดีเด่นประจำปีพุทธสักราช 2532 กรุงเทพฯ : กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร. หน้า 170.สาเหตุที่คนไทยใช้ภาษาไทยผิด เพราะ
         1. วงการศึกษาให้ความสำคัญวิชาภาษาไทยน้อยมาก โดยเฉพาะหลักสูตรที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยๆ
             2. อิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตก ปัจจุบันคนไทยพูดภาษาไทยปนภาษาต่างประเทศแม้แต่ชื่อบริษัท หรือชื่อวงดนตรีที่โด่งตังก็จะใช้ภาษาต่างประเทศ
            3. สื่อมวลชนมักใช้ภาษาไทยผิดแบบแผน เพื่อเร้าความสนใจ ทำให้ผู้อ่านจดจำและนำไปใช้ผิดไปด้วย
    2. การจดบันทึกแบบถอดความ คือ การเขียนขึ้นใหม่ทั้งหมดจากต้นฉบับเดิม ซึ่งอาจเป็นร้อยกรอง หรือ ภาษาต่างประเทศ แล้วถอดความเป็นสำนวนของผู้บันทึกเอง หรือเป็นข้อความที่ไม่สำคัญพอที่จะใส่ในเครื่องหมายอัญประกาศ หรือถ้าคัดลอกข้อความมาอาจยาวเกินไปจึงเขียนขึ้นเป็นสำนวนตัวเองวรรณคดีเสถียร โกเศศ(พระยาอนุมานราชธน). (2515). ค่าของวรรณคดี. กรุงเทพฯ : คลังวิทยา. หน้า18.ความคมของคำกล่าวที่เห็น จะอยู่ที่การเปรียบเทียบชีวิตของคน ว่ามีถึงสองชีวิต คือชีวิตทาอาชีพ เปรียบได้กับชีวิตที่เกี่ยวข้องอยู่กับวัตถุ หรือทรัพย์สินเงินทอง อีกชีวิตหนึ่งเป็นด้านของชีวิตที่นำความสุข ความอิ่มเอิบมาสู่ผู้ที่เห็นคุณค่าของชีวิตในด้านนี้ ซึ่งมีคนไม่น้อยที่ไม่เห็นความสำคัญของชีวิตด้านนี้ เพราะมุ่งไปทางวัตถุเป็นสำคัญ ซึ่งน่าเสียดาย เพราะทำให้เห็นชีวิตในด้านเดียว มองชีวิตในทัศนะที่แคบ  
    3. การบันทึกแบบคัดลอกข้อความหรือคำพูด คือ ข้อความนั้นสำคัญมาก ไม่สามารถเขียนได้ดีเท่าของเดิม การบันทึกแบบนี้ต้องคัดลอกให้ถูกต้องตามต้นฉบับทุกคำพูด ถ้าข้อความยายเกินไป ต้องการจะตัดตอนเอาเฉพาะที่สำคัญให้ใช้จุด 3 จุด(...) ตรงข้อความที่ตัดออก แต่ต้องใส่เครื่องหมายอัญประกาศ      (“ ”) คลุมข้อความทั้งหมดไว้ด้วยมีผู้กล่าวว่าลักษณะของข้อความที่บันทึกโดยวิธีคัดลอกข้อความนี้มักจะมีลักษณะอยู่ในเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้
           3.1 เป็นคำจำกัดความ หรือความหมายของคำ
           3.2 เป็นสูตร กฎ หรือระเบียบ
           3.3 เป็นข้อความที่เป็นคติเดือนใจ มีความงดงามทางภาษา เช่น สุภาษิตคำพังเพย โอวาท หรือสุนทรพจน์ของบุคคลสมองมีไว้คิดถนอมวงศ์ ล้ำยอดมรรคผล. (2529). การอ่านให้เก่ง. พิมพ์ครั้งที่2. กรุงเทพฯ : กระดาษสา.หน้า 17.“ใครที่นั่งหลับเวลาเรียนบ่อยๆ จงรู้เกิดว่า เป็นเพราะไม่ได้ติดตาม หรือไม่ได้คิด ด้านถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟัง การคิดและตั้งคำถามเป็นวิธีแก้ง่วงที่ชะงัดที่สุด หากลุกขึ้นถามปัญหานั้น ก็จะหายง่วงทันที ปัญหาที่คิดนั้นอาจเป็นปัญหาที่ตัวเองรู้คำตอบดีอยู่แล้วก็ได้ หรือไม่ทราบคำตอบจริงๆก็ได้ ถ้ารู้จักถาม อาจได้คำตอบที่ไม่คาดคิดมาก่อนก็ได้ เมื่อคุณอ่านก็เช่นกันหากหมั่นถามตัวเองก็จะไม่ง่วง บางทียังได้อะไรใหม่ๆที่ไม่เคยได้จากการอ่านครั้งก่อนก็ได้"
    4. การบันทึกแบบวิจารณ์หรือสรุปความ เป็นการสรุปความคิดเห็นของตนเองหลังจากการอ่านเรื่องนั้นแล้ว อาจเปรียบเทียบ สรุป วิจารณ์ สนับสนุนโต้แย้งความคิดนั้นสารนิเทศประภาวดี สืบสนธิ์. (2532). “พฤติกรรมสารนิเทศ” ชมรมนิสิตวิชาบรรณารักษศาสตร์จุฬา.9 (ฉบับฉลองหลักสูตรบรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์). หน้า 24.ผู้เขียนได้แบ่งสารนิเทศไว้ 2 ประเภท คือ แหล่งสารนิเทศภายในตัวบุคคล และแหล่งสารนิเทศภายนอกตัวบุคคล ซึ่งแหล่งสารนิเทศภายนอกตัวบุคคลยังแบ่งได้อีก 3 แหล่ง คือ แหล่งบุคคลแหล่งสถาบัน และแหล่งที่เป็นสื่อมวลชน
     5. วางโครงเรื่องเป็นการจัดลำดับเนื้อหาก่อนการเขียนรายงาน เพื่อให้มองเห็นรูปแบบและรายละเอียดที่สัมพันธ์กัน ครอบคลุมเนื้อหาครบถ้วน ไม่เสียเวลาในการค้นหาข้อมูล ดังนั้นจึงควรมีการวางโครงเรื่อง โดย
 
          5.1 จัดเรียงความสำคัญของเนื้อเรื่องโดยกำหนดเป็นหัวข้อใหญ่ สำคัญรองลงมาเป็นหัวข้อย่อย
          5.2 แต่ละหัวข้อควรมีชื่อเป็นข้อความกะทัดรัด ได้ใจความครอบคลุมเนื้อหาแต่ละตอน
          5.3 หัวข้อต่างๆควรมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันตามลำดับ และไม่ควรแบ่งย่อยเกินไป เพราะจะทำให้สับสน เข้าใจยาก
          5.4 การแบ่งหัวข้อ ควรใช้ตัวเลขกำกับแสดงหัวข้อใหญ่ และหัวข้อย่อยต่อเนื่องกันโดยใช้เครื่องหมายยมหัพภาค ควรใช้ตัวเลขเพียง 3 ตัว ถ้าแบ่งย่อยกว่านั้นควรใช้ย่อหน้าแทนตัวอย่างการวางโครงเรื่อง
หนังสืออ้างอิง
    1 . ความหมายของหนังสืออ้างอิง
    2. ลักษณะของหนังสืออ้างอิง
            2.1 เขียนโดยผู้ทรงคุณวุฒิ
            2.2 รวบรวมความรู้ครอบคลุมสาขาวิชาต่างๆ
            2.3 จัดเรียงเนื้อหาอย่างมีระบบ ทำให้ค้นง่าย สะดวก รวดเร็ว
                  2.3.1 จัดเรียงตามลำดับตัวอักษร
                  2.3.2 จัดเรียงตามเวลา หรือเหตุการณ์
                  2.3.3 จัดเรียงตามลำดับหมวดหมู่
           2.4 มีเครื่องมือช่วยค้น
                  2.4.1 อักษรนำเล่ม (Volume Guide)
                  2.4.2 คำชี้นำ (Guide Word)
                  2.4.3 ดรรชนีนิ้วมือ (Thumb Index)
                  2.4.4 ดรรชนี (Index)
           2.5 มีความประณีตในการจัดทำ
                 2.5.1 กระดาษมีคุณภาพดี
                 2.5.2 ตัวพิมพ์มีความคมชัด
                 2.5.3 การเข้าเล่มได้มาตรฐาน
      6. เรียบเรียงเนื้อหาฉบับร่าง     โดยจัดเรียงบัตรบันทึกให้เป็นหมวดหมู่ โดยแยกหัวข้อเรื่องเดียวกันไว้ด้วยกันและจัดลำดับหัวข้อเรื่องตามโครงเรื่องที่วางไว้ เรียงตามลำดับหัวข้อใหญ่ หัวข้อย่อยให้เหมาะสมตามข้อมูลบางหัวข้อไม่จำเป็นต้องใช้ ให้แยกต่างหาก อย่าทิ้งเพราะอาจต้องนำมาใช้เพิ่มเติมภายหลัง จากนั้นลงมือเขียนรายงาน โดยประมวลข้อมูล ความรู้ ความคิดทั้งหมดเข้าด้วยกัน ด้วยภาษา สำนวนที่สละสลวย อ่านเข้าใจง่าย ตัวสะกด ตัวการรันต์ถูกต้องตามพจนานุกรม แสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผลให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจได้ง่าย ข้อความใดที่คัดลอกมา ควรเขียนเชิงอรรถ หรือแหล่งที่มาให้ถูกตองตามแบบแผน หากมีรูปภาพ ตาราง แผนภูมิ ก็จะทำให้รายงานสมบรูณ์ยิ่งขึ้น
      7. จัดทำฉบับสมบรูณ์        ทบทวน ตรวจทาน แก้ไข ความถูกต้องสมบรูณ์ของเนื้อหา และภาษา รูปแบบการพิมพ์การเว้นระยะต่างๆ ตลอดถึงการจัดรูปเล่มควรเรียงลำดับหน้าต่างๆอย่างไร เมื่อเห็นว่าถูกต้องสมบรูณ์แล้วจึงนำไปเข้าเล่ม และนำส่งอาจารย์ต่อไป
การเขียนรายงานจากการค้นคว้า   
    1 รายงานค้นคว้าเชิงรวบรวม เป็นการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ มาเรียบเรียงปะติดปะต่อกันอย่างมีระบบระเบียบ
   2 รายงานค้นคว้าเชิงวิเคราะห์ การนำข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้มาวิเคราะห์ หรือค้นหาคำตอบในประเด็นให้ชัดเจน

วิธีการนำเสนอรายงาน
    - รายงานด้วยปากเปล่า (Oral Reports) หรือเสนอด้วยวาจา โดยการเสนอแบบบรรยายต่อที่ประชุมต่อผู้บังคับบัญชา ฯลฯ ในกรณีพิเศษเช่นนี้ ควรจัดเตรียมหัวข้อที่สำคัญ ๆ ไว้ให้พร้อม โดยการคัดประเด็นเรื่องที่สำคัญ จัดลำดับเรื่องที่จะนำเสนอก่อนหน้าหลังไว้
   - รายงานเป็นลายลักษณ์อักษร (Written Reports) มักทำเป็นรูปเล่ม เป็นรูปแบบการนำเสนออย่างเป็นทางการ (Formal Presentation)

ลักษณะของรายงานที่ดี   
1. ปกสวยเรียบ
2. กระดาษที่ใช้มีคุณภาพดี มีขนาดถูกต้อง
3. มีหมายเลขแสดงหน้า
4. มีสารบัญหรือมีหัวข้อเรื่อง
5. มีบทสรุปย่อ
6. การเว้นระยะในรายงานมีความเหมาะสม
7. ไม่พิมพ์ข้อความให้แน่นจนดูลานตาไปหมด
8. ไม่การการแก้ ขูดลบ
9. พิมพ์อย่างสะอาดและดูเรียบร้อย
10. มีผังหรือภาพประกอบตามความเหมาะสม
11. ควรมีการสรุปให้เหลือเพียงสั้น ๆ แล้วนำมาแนบประกอบรายงาน
12. จัดรูปเล่มสวยงาม
 
การเลือกใช้สื่อและอุปกรณ์ในการนำเสนอ        
    มีโสตทัศนูปกรณ์ชนิดต่าง ๆ มากมายที่สามารถนำมาใช้ในการนำเสนอ แต่ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกใช้สื่อหรืออุปกรณ์ชนิดใดแล้ว ควรวิเคราะห์เสียก่อนว่าสื่อหรืออุปกรณ์ใดจะเหมาะสมและสอดคล้องกับเรื่องที่จะนำเสนอนั้น ๆ โดยวิเคราะห์จาก
- ขนาดและลักษณะของผู้ฟัง
- เวลาที่ใช้ในการนำเสนอ
- เวลาสำหรับการผลิตสื่อ
- งบประมาณ
     โสตทัศนูปกรณ์และสื่อสำหรับใช้ในการนำเสนอ ควรจะสอดคล้องและเหมาะสมกับเรื่องราวในโลกยุคปัจจุบัน เราอาจจัดหามาได้หลาย ๆ อย่างเช่น
- เครื่องเสียงชนิดต่าง ๆ
- ชอล์ก/กระดานดำ
- ฟลิปชาร์ต/แผนภูมิ/ของจริง
- แผนผัง/แผนที่
- เครื่องฉายไมโครฟิล์ม
- เครื่องฉายภาพข้ามศรีษะ/ภาพถ่าย/แผ่นใส
- เครื่องฉายภาพยนตร์ทุกชนิด
- ทีวี/วีดีโอ/ภาพจากวีดีโอ
- เครื่องฉายสไลด์/ภาพสไลด์/มัลติวิชั่น
- ภาพจากจอคอมพิวเตอร์
   ประโยชน์ของการเตรียมโสตทัศนูปกรณ์และสื่อสำหรับใช้ในการนำเสนอ จะเพิ่มอรรถรสในการบรรยายรายงานด้วยวาจาเพราะสามารถช่วยในเรื่อง ดังนี้
1. ผู้รับรายงานสามารถเห็นและคิดได้โดยตรงในทันที
2. มีความกระจ่างชัดและสามารถเน้นจุดสำคัญเป็นพิเศษได้ตรงจุด
3. ช่วยในการสรุปประเด็น

 การอ้างอิงและบรรณานุกรม
         การอ้างอิง คือ การบอกแหล่งที่มาของข้อมูล เพื่อให้ผู้อ่านสามารถสอบทานข้อเท็จจริงหรือศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมต่อไปสะดวกการบอกแหล่งที่มาของข้อมูลถือเป็นการให้เกียรติเจ้าของข้อมูลซึ่งเป็นมารยาทที่ดีทางวิชาการ นอกจากนี้การอ้างอิงข้อมูลของผู้อื่นซึ่งสอดคล้องกับเนื้อหาหรือผลการศึกษาของผู้เขียนรายงานยังมีส่วนช่วยให้รายงานน่าเชื่อถือยิ่งขึ้นอีกด้วย
วิธีเขียนบรรณานุกรม  
    การเขียนบรรณานุกรมจากหนังสือ ผู้เรียนสามารถนำข้อมูลจากหน้าปกใน และด้านหลังของหน้าปกใน ของหนังสือเล่มที่บันทึกข้อมูลมาเขียนบรรณานุกรม การเขียนบรรณานุกรมจากวารสาร นำข้อมูลจากหน้าปก ของวารสารฉบับที่บันทึกข้อมูลมาเขียนบรรณานุกรม และการเขียนบรรณานุกรมจากหนังสือพิมพ์นำข้อมูลจากหน้าแรกของหนังสือพิมพ์มาเขียบรรณานุกรม และการเขียนบรรณานุกรมจากสื่ออีเล็กทรอนิกส์ นำข้อมูลจากหน้าแรกของเว็บเพจมาเขียนบรรณานุกรม ดังนี้
      1. เขียนไว้ในส่วนท้ายของรายงาน
  2.เขียนเรียงลำดับอักษรชื่อผู้แต่งในกรณีที่มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ให้เขียนบรรณานุกรมภาษาไทยก่อน
     3. บรรทัดแรกของบรรณานุกรมชิดด้านซ้ายที่เว้นจากขอบกระดาษเข้ามา 1.5 นิ้ว ถ้ายังไม่จบ เมื่อขึ้นบรรทัดใหม่โดยย่อหน้าเข้ามาประมาณ 7 ช่วงตัวอักษรของบรรทัดแรก ให้เขียนตรงกับช่วงตัวอักษรที่ 8
     4. รายละเอียดในโครงสร้างรูปแบบบรรณานุกรมหนังสือ มีดังนี้

1. โครงสร้างรูปแบบบรรณานุกรมหนังสือ





1.1 การอ้างถึงชื่อผู้แต่ง 1.1.1 ผู้แต่งคนเดียว



1.1.2 ผู้แต่ง 2 คน ให้ใส่คำว่า “และ” เชื่อมระหว่างคนที่ 1 กับคนที่ 2



1.1.3 ผู้แต่ง 3 คน ให้ใส่เครื่องหมายจุลภาคคั่นระหว่างคนที่ 1 กับคนที่ 2 และใส่คำว่า “และ” เชื่อมระหว่างคนที่ 2 กับคนที่ 3



1.1.4 ผู้แต่งตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป ลงเฉพาะชื่อแรก และตามด้วยคำว่า และคนอื่น ๆ



1.1.5 หนังสือที่ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง ให้ใช้ชื่อเรื่องเป็นรายการแรกแทนชื่อผู้แต่ง



1.1.6 ผู้แต่งใช้นามแฝง ให้ใช้นามแฝงได้เลย



1.1.7 หนังสือแปล ให้ใส่ชื่อ นามสกุลของผู้แต่ง ก่อนผู้แปล



1.1.8 ผู้แต่งมีบรรดาศักดิ์ ให้ใส่ชื่อ นามสกุล ตามด้วยบรรดาศักดิ์



1.2 รูปแบบของบรรณานุกรมหนังสือ
รูปแบบของบรรณานุกรม มี 2 แบบ
1.2.1 การอ้างอิงแยกจากเนื้อหาอยู่ท้ายของรายงาน
     1) การอ้างอิงเนื้อหาบางบท หรือบางตอน ในหนังสือเล่มเดียวจบ ให้ใส่ชื่อบท หรือตอน ใช้คำว่า “ใน” ตามด้วยชื่อหนังสือ และระบุหน้า เมืองที่พิมพ์ ผู้รับผิดชอบในการพิมพ์




       2) การอ้างอิงเนื้อหาบางบท หรือบางตอน ของหนังสือบางเล่มที่มีหลายเล่มจบ ใช้คำว่า “ใน” ตามด้วยชื่อหนังสือ ระบุเล่ม และหน้าตามด้วยเลขหน้าที่อ้างอิง เมืองที่พิมพ์ ผู้รับผิดชอบในการพิมพ์



    3) การอ้างอิงตลอดทุกเล่มที่มีหลายเล่มจบ ให้ระบุจำนวนเล่ม ตามด้วย เมืองที่พิมพ์ ผู้รับผิดชอบในการพิมพ์



4 ) การอ้างอิงเพียงเล่มใดเล่มหนึ่ง ให้ระบุเล่มที่อ้างอิงตามด้วย เมืองที่พิมพ์ ผู้รับผิดชอบในการพิมพ์



1.2.2 การอ้างอิงแทรกในเนื้อหา 1) เมื่อต้องการจะแทรกในเนื้อหาสามารถแทรกวงเล็บพร้อมกับอ้างอิงได้ทันที เมื่อจบข้อความ 1.1) รายการอ้างอิง ประกอบด้วย ชื่อ นามสกุลผู้แต่ง ตามด้วยเครื่องหมายจุลภาค ปีที่พิมพ์ ตามด้วยเครื่องหมายจุลภาค หน้า/เลขหน้าที่อ้างถึง



1.2) หากไม่มีชื่อผู้แต่ง ให้ใช้ชื่อหน่วยงานแต่ง ตามด้วยเครื่องหมายจุลภาค ปีที่พิมพ์ ตามด้วยเครื่องหมายจุลภาค หน้า/เลขหน้าที่อ้างถึง



1.3) หากไม่ระบุปีที่พิมพ์ และเลขหน้า ให้ใช้ตัวอักษรย่อ “ม.ป.ป.” ย่อมาจากคำว่า ไม่ปรากฏเลขหน้า และระบุคำว่า ไม่มีเลขหน้าลงไปได้เลย



2) ถ้าระบุชื่อผู้แต่งลงในเนื้อหาแล้วอ้างต่อทันทีในวงเล็บ ไม่จำเป็นต้องระบุ ชื่อผู้แต่งซ้ำอีก



ยกเว้นผู้แต่งเป็นชาวต่างชาติ



3) การอ้างถึงเอกสารที่ไม่สามารถค้นหาต้นฉบับจริงได้ ให้อ้างจากเล่มที่พบ ใช้คำว่า “อ้างถึงใน” หากเป็นบทวิจารณ์ ใช้คำว่า “วิจารณ์ใน”



4) การอ้างถึงเฉพาะบท ใช้คำว่า “บทที่”



5) การอ้างถึงตาราง ในเนื้อหา ใช้คำว่า “ดูตารางที่” การอ้างถึงภาพในเนื้อหา ใช้คำว่า “ดูภาพที่”



2. โครงสร้างและรูปแบบบรรณานุกรมวารสาร



2.1 การเขียนบรรณานุกรมจากบทความในวารสาร มีปีที่ และฉบับที่



2.2 บทความในวารสาร ที่ไม่มีปีที่ ออกต่อเนื่องทั้งปี



3. โครงสร้างและรูปแบบบรรณานุกรมหนังสือพิมพ์



3.1 การเขียนบรรณานุกรมบทความในหนังสือพิมพ์



3.2 การเขียนบรรณานุกรมข่าวจากหนังสือพิมพ์ ให้เขียนหัวข่าว



3.3 การเขียนบรรณานุกรมจากคอลัมน์จากหนังสือพิมพ์



4. รูปแบบบรรณานุกรมเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ระบบออนไลน์ (Online) หรืออินเทอร์เน็ต
  4.1 เว็บเพจ มีผู้เขียน หรือมีหน่วยงานรับผิดชอบ



  4.2 เว็บเพจไม่ปรากฏผู้เขียน และปีที่จัดทำ ใส่ ม.ป.ป. (ไม่ปรากฏปีที่พิมพ์)


 



 


 


อ้างอิง
 
 
 
 
http://wtoy9997.blogspot.com/

http://www.kr.ac.th/ebook/songsri/b3.htm

http://www.bangkapi.ac.th/MediaOnLine/weerawanWMD/unit5_part13.htm

วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

ยุค Post Modern

โดย นางสาวนฤมล  แก้วเนียม
 
ยุคสมัยในปัจจุบัน ยุคPost Modern
     Post Modern คือแนวความคิดที่มาหลังจากยุค modern ซึ่งเป็นช่วงหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม ที่อะไรต่างๆถูกกำหนดอยู่ในหลักเกณฑ์และทฤษฏี แต่ยุค postmodern เป็นยุคที่ปฏิเสธสิ่งเดิมๆในยุคmodern โดยเน้นเสรีภาพและอิสระของบุคคล ไม่เชื่อในโลกของความจริง ไม่เชื่อเรื่องความเป็นสากล เพราะเชื่อว่าแต่ละคนแต่ละวัฒนธรรมนั้นมีเหตุผลของตัวเอง ไม่ควรจะให้ใครมาตัดสินว่าอันไหนสิ่งใดดีที่สุด แล้วคิดว่าสิ่งนั้นต้องดีสำหรับคนอื่นด้วย ดังนั้นจึงไม่คิดว่าสังคมที่คิดว่าเป็นสากลนั้นไม่มีจริง
       คิดโพสต์โมเดิร์นไม่เชื่อในโลกความจริงที่อยู่นอกเหนือไปจากโลกของภาษา ซึ่งถ้าหากว่าสิ่งนอกเหนือต่าง ๆ มีอยู่จริงเขาก็ไม่สนใจที่จะต้องไปถกเถียงกัน เพราะว่าถกเถียงไม่ก็ไม่มีข้อสรุปว่าสิ่งไหนถูกผิด เนื่องจากทุกสิ่งถูกการมองโดยโลกของภาษา ซึ่งมีลูกเล่นแพรวพราวทั้งตัวภาษาเองและตัวผู้ใช้ภาษา พวกเขาจึงสนใจที่จะศึกษาเรื่องของภาษา วาทกรรม ตัวบท ซึ่งมีนักคิดคนสำคัญคือ
 
Jacques Derrida

เกิดในอัลจีเรียเขาเสนอวิธีการ deconstruct คือการแสดงให้เห็นว่าเราสามรถถอดรื้อความเห็น ของทฤษฎีหรือวาทกรมใด ๆ ก็ได้ เพื่อเปิดเผยให้เห็นถึงจุดหละหลวมของมัน ซึ่งภาษานั้นก็สามารถที่จะสร้างความหมายลื่นไหลไปได้เรื่อยๆ เขาจริงถือเป็นภารกิจของเขที่จะถอดรื้อระบบความคิดที่อ้างตัวเองเป็นตัวแทนของความจริง


Jacques Derrida
Michel Foucault

เขามุ่งถอดรื้อความคิด ทฤษฎี วาทกรรมที่อ้างตนเองว่าเป็นความรู้ที่เป็นกลางเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ เช่น ความรู้ทางการแพทย์ ทางสังคม ทางจิตวิทยา ฯลฯ เขาถอดรื้อให้เห็นว่าความรู้จำนวนมาก รวมทั้งสถาบันต่างๆ ได้ถูสร้างขึ้นมาอย่างมีเงื่อนไขเพื่อปกปิดอำพรางบางอย่าง โดยเฉพาะประโยชน์ทางอำนาจ เพื่อปิดกั้นความรู้และความจริงอื่น ๆ อันเป็นการกดดัน บีบบังคับ บิดเบือน ละเลย หลงลืม อำนาจ หรือการดำรงอยู่ของส่วนอื่น ๆ เช่น ละเลยความสำคัญของจิตใต้สำนึกของร่างกายของคนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆ เช่น เกย์ เลสเบี้ยน เป็นต้น
 
 
Michel Foucault
 
Jacques Lacan
 
(ค.ศ. 1901-1981) งานของเขาชี้ให้เห็นว่าภาษากำหนดรูปร่างความเป็นไปของจิตใต้สำนึก อารมณ์ปรารถนาของเราตั้งแต่ยังเป็นทารก โลกของภาษาคือโลกของสัญลักษณ์ อำนาจ การครอบงำตั้งแต่วัยทารกจึงทำให้อัต ลักษณ์ของเราแยกจากภาษาไม่ออก
 
Jacques Lacan

Post Modern วิพากษ์สังคมตะวันตก ในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้

ประเด็นแรก โลกโดมเดิร์นไม่ได้นำไปสู่ความเป็นเหตุเป็นผล ความก้าวหน้า หรือความสงบสุขของมนุษย์ แต่มีหลายช่วงที่นำไปสู่ความรุนแรง เช่น สงครามโลก และการฆ่าล้างเผ่าพันต่างๆ
ประเด็นที่สอง ระบบการเมืองของสังคมโมเดิร์นของตะวันตกไม่ได้สะท้อนการกระจายอำนาจที่ดีเพียงพอ พวกเจาจึงเสนอให้มีการกระจายอำนาจสู่ชุมชน อำนาจของประชาสังคม อำนาจของภาคพลเมืองเพิ่มเวทีหรือพื้นที่สาธารณะหรือพื้นที่ทางการเมืองให้คนด้อยสิทธิต่าง ๆ
ประเด็นที่สาม สถาบันระบบคุณธรรมของตะวันตก ยังมีคนบีบบังคับ กดดัน บีบคั้น ผู้ด้อยกว่า เช่น แรงงานอพยพต่างๆ คนกลุ่มน้อย และยังมีการกระทำแบบเดียวกันต่อประเทศอื่นๆ ด้วย
ประเด็นที่สี่ องค์ความรู้ของตะวันตกที่สร้างมาในยุคโมเดิร์นมีส่วนสร้างรับใช้และสถาบันทางการเมือง สังคม ศีลธรรม คุก โรงพยาบาล ซึ่งยังมีส่วนในการปิดกั้นและกีดกันผู้ด้อยโอกาสในสิทธิอำนาจตามประเด็นที่สาม

Post modern มองว่า ถึงแม้ว่าอดีตประเทศอาณานิคมจะได้รับเอกราชมานานแล้วแต่ก็ยังมีความคิดที่เป็นอาณานิคมคือคล้อยตามระบบความคิดที่เป็น modernization ที่นิยมชื่นชมความคิด ค่านิยม ศิลปวัฒนธรรม ที่เป็นองค์ความรู้ที่เป็นตะวันตกเป็นอย่างมาก
Post modern มองว่าองค์ความรู้ตั้งแต่ปรัชญา จริยธรรม การเมือง การปกครอง วรรณกรรมคลาสสิค ฯลฯ ทั้งหมดเป็นเพียงเพื่อสร้างภาพสร้างตัวตนที่ดีงามมีเหตุผลให้ตะวันตก ซึ่งสิ่งเหล่านั้นไปกดทับ เพิกเฉย ละเลย ลืมประวัติศาสตร์ของตัวตน การดำรงอยู่ของวัฒนธรรมของผู้อื่นหรือคนอื่นเป็นการยกย่องประวัติศาสตร์และให้คุณค่าในเรื่องของตนเองและลดคุณค่าในเรื่องที่เป็นของผู้อื่น ซึ่งเป็นวิธีการคิดแบบแยบยล

 
ตัวอย่างอาคารที่สร้างด้วยแนวคิดปรัชญาโพสท์โมเดิร์น
 

การกำเนิดของแนวคิดหลังสมัยใหม่

         ในช่วงปลายสมัยใหม่ของภูมิปัญญาตะวันตก มีความเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างถูกสร้างขึ้นเพื่อความทันสมัย บางครั้งก็เรียกรวมๆว่าความคิดแบบสมัยใหม่นิยม (modernism) กล่าวได้ว่าความคิดทันสมัยมีรากเหง้ามาจากทฤษฎีความคิดในยุคภูมิปัญญา (enlightenment) นักคิด นักปรัชญาการเมืองในยุคสมัยใหม่แข่งขันกันนำเสนอวิสัยทัศน์ที่เกี่ยวกับชีวิตที่ดี สังคมที่ดี ที่สำคัญคือ แนวคิดเสรีนิยม (liberalism) ที่เห็นว่าปัจเจกบุคคลต้องสละประโยชน์ส่วนตัว หาทางสร้างระบบการเมืองเสรีประชาธิปไตยขึ้นมารองรับ กับแนวคิดมาร์กซิสม์ ที่ต่างต้องการสร้างโลกใหม่ที่ไม่ตกอยู่ภายใต้การขูดรีดจากระบบทุนนิยม ความเชื่อในยุคสมัยใหม่กล่าวได้ว่ามีศรัทธาแรงกล้าต่อความก้าวหน้า (idea of progress) การที่สังคมมีหลักพื้นฐานอันประกอบด้วยสัจจะ ค่านิยมหลัก และความเชื่อมั่นเรื่องสังคมก้าวหน้ารวมเรียกกันว่าแนวคิดสถาปนานิยม (foundationism) ที่พยายามสถาปนาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวให้เกิดขึ้นในสังคมผ่านการสร้างค่านิยม, ความเชื่อต่างๆขึ้นมาครอบครองความคิดมนุษย์ในสังคม
        ในเวลาต่อมาจึงเกิดความคิดหลังสมัยใหม่ (postmodern) ที่เสนอให้ปฏิเสธความแน่นอน หนึ่งเดียว นักคิดหลังสมัยใหม่ ปฏิเสธเรื่องสัจจะสมบูรณ์สูงสุดเป็นสากล โดยเห็นว่าเป็นเพียงการโอ้อวด แต่เสนอว่าไม่มีศูนย์กลางความเป็นหนึ่งเดียว และสังคมดำรงอยู่อย่างแตกต่างหลากหลาย (diversity) ความคิดและแนวคิดใดๆทั้งหมดเป็นเรื่องที่ได้รับการแสดงออกในรูปภาษาโดยที่ภาษาหรือการใช้ภาษาสื่อความหมายนั้นล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทางอำนาจอันซับซ้อน ดังนั้นปรัชญาและทฤษฎีการเมืองจึงมิอาจอยู่เหนือ หรือตัดขาดจากความสัมพันธ์ทางอำนาจ เช่นกันกับมิอาจให้ความรู้ความเข้าใจได้ด้วยการเป็นกลางไม่โอนเอียง ทฤษฎีการเมืองหรือสัจจะหรือความรู้ใดๆเป็นส่วนหนึ่งโดยนัยของความสัมพันธ์ทางอำนาจที่นักวิชาการกำลังวิเคราะห์อยู่นักคิดหลังสมัยใหม่จึงมีลักษณะตั้งข้อกังขาอย่างไม่ลดละต่อสภาพความเป็นจริงใดๆที่ดูหนักแน่นสมบูรณ์ และความเชื่อต่างๆที่พากันยึดถืออย่างไม่ลืมหูลืมตา 
         สำคัญที่สุดที่ทำให้กล่าวกันว่าได้ก้าวเข้าสู่ยุคหลังสมัยใหม่ (postmodern era) คือความคิดที่ว่าสิ่งที่เป็นจริง (the real) กับสิ่งที่ปรากฏ (apparent) นั้นอาจไม่ใช่เรื่องเดียวกัน ซึ่งเป็นความคิดของฟรีดริช นิทซ์เชอ (Friedrich Wilhelm Nietzsche) ซึ่งความคิดดังกล่าวเข้าไปมีอิทธิพลในวงการศิลปะในช่วงทศวรรษที่ 1920 กล่าวได้ว่าแนวคิดหลังสมัยใหม่ (postmodern) คือการเคลื่อนไหวทางความคิดและวัฒนธรรมที่ต่อต้านนิยาม, ความเชื่อ, ค่านิยม, จารีต, ประเพณีฯลฯ อาทิองค์รวม (totality), ความเป็นเหตุเป็นผล (rationality), ความเป็นสากล(universality), ความเป็นวัตถุวิสัย (objectivity) ฯลฯ ซึ่งนักคิดหลังสมัยใหม่จะตั้งคำถามต่อสิ่งเหล่านี้ในฐานะที่ต่างเป็นเพียง “เรื่องเล่าหลัก (meta-narrative)” ที่เกิดขึ้นมาจากข้ออ้างของความเป็นสมัยใหม่ (modernity) ของแนวคิดสมัยใหม่ (modernism)
 
 หลักการโดยทั่วไปของ Post Modern
         คือการสร้างรูปแบบงานออกแบบใหม่ที่ไม่ใช่ทั้ง Modern และ รูปแบบ Classicแต่กลับเป็นการสร้างลูกผสมระหว่างทั้งสองรูปแบบขึ้นมาดังจะ เห็นได้จากผลงานส่วนใหญ่ของรูปแบบนี้จะมีการสร้างชิ้นงานแบบ Modern ที่เรียบง่าย และมีรูปทรงที่โดดเด่น เตะตา แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีการอ้างอิงถึงรายละเอียด หรือกลิ่นอายของงาน Classic ไปด้วยในตัว รูปแบบ Post Modern ก็มักจะมีการใช้สีสรรที่สดใส หรือวัสดุที่แปลกใหม่ ตลอดจนรูปทรงที่แปลกตา เข้ามาใช้ในงานด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอาคาร สถาปัตยกรรม ทำให้เรามักจะได้เห็น อาคารรูปทรงแปลกประหลาด หรือมีสีสรร สดใสตัดกับอาคารสี่เหลี่ยมทึบตันรอบข้าง โผล่มาอย่าง น่าประทับใจ
         ในบางครั้งงาน Post Modern ก็จะไปเน้นที่การเล่นเรื่องSpace กล่าวคือ Space ของงาน Classicมักจะเน้นที่ ความหรูหรา ใหญ่โตและอลังการ ในขณะที่รูปแบบ Modernจะเน้นที่ความเรียบง่าย และการสร้างความรู้สึกที่สัมผัสได้ ในทันทีที่เข้าไปพบ หรือสัมผัสแต่รูปแบบ Post Modern มักจะเน้นที่ การสร้างความรู้สึกคล้ายใช่ และ คล้ายไม่ใช่ โดยมักจะสร้าง Space ที่ให้ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป ในแต่ละ ก้าวย่าง ที่เข้าไปสัมผัส
         รูปแบบ Post Modern ก็มักจะมีการใช้สีสรรที่สดใส หรือวัสดุที่แปลกใหม่ ตลอดจนรูปทรงที่แปลกตา เข้ามาใช้ในงานด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอาคาร สถาปัตยกรรม ทำให้เรามักจะได้เห็น อาคารรูปทรงแปลกประหลาด หรือมีสีสรร สดใสตัดกับอาคารสี่เหลี่ยมทึบตันรอบข้าง โผล่มาอย่าง น่าประทับใจ
ความแปลกใหม่และลูกเล่นที่สร้างสรรค์ต่างๆ เหล่านี้ ได้สร้างให้งาน Post Modern ขึ้นสู่จุดสูงสุดอย่างรวดเร็วและด้วยเทคโนโลยีการสื่อสาร ที่ทันสมัย ยิ่งทำให้งานออกแบบนี้แพร่กระจายไปทั่วโลก Post Modern กลายเป็นรูปแบบใหม่ ที่นักออกแบบทั่วโลกให้ความสนใจ และยินดีที่จะสร้างสรรค์ผลงานในรูปแบบนี้ ภายหลังจากที่ ต้องเก็บกดอยู่นานกับความเรียบง่าย วัสดุที่จำกัด และรูปทรงเรขาคณิต ของงาน Modern แก่นสารอีกแล้ว ไม่มีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวอีกแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความแน่นอน.นอกจากนี้ในยุคโมเดิร์น ยังเน้นในเรื่องของฝรั่งผิวขาว หรือคนตะวันตก เป็นผู้นำของโลก หรือเป็นเอตทัคคะในทุกๆศาสตร์ เป็นคนที่ประกาศวาทกรรมที่จริงแท้ที่สุดอันปฏิเสธไม่ได้ พวกโพสท์โมเดิร์นปฏิเสธเรื่องนี้เช่นเดียวกัน พวกเขาบอกว่า ethnic group หรือชนกลุ่มน้อยที่เป็นรองในสังคม, พวก minorityหรือใครก็แล้วแต่ที่เคยด้อยกว่าในยุคโมเดิร์น สามารถที่จะประกาศวาทกรรมของตนได้เช่นเดียวกัน สามารถที่จะสร้าง discourse ของตนเองได้เช่นเดียวกันเหมือนกับคนผิวขาวหรือคนตะวันตก.จะเห็นได้ว่าในยุคโพสท์โมเดิร์น เป็นการตีกลับยุคโมเดิร์น อย่างค่อนข้างชัดเจน ประการต่อมา ในยุคโมเดิร์นนั้น เป็นยุคซึ่งได้สืบทอดความคิดเรื่องผู้ชายเป็นใหญ่กว่าผู้หญิงมาตามลำดับ แต่ในยุคโพสท์โมเดิร์น ไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้บอกว่าผู้หญิงก็มีสิทธิของพวกเธอเท่าเทียมกับผู้ชายผู้หญิงก็มีวาทกรรมของตนเอง ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ผู้ชายเป็นฝ่ายกำหนด โดยเฉพาะโครงสร้างทางสังคม ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ. ระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆที่ออกมา ผู้หญิงเป็นเบี้ยล่างมาโดยตลอด เช่น การใช้นามสกุลของผู้ชายหลังแต่งงานก็ดี กฎหมายเกี่ยวกับเรื่องชู้สาวก็ดี รวมไปถึงเรื่องของการจัดการด้านทรัพย์สิน และกระทั่งความไม่เท่าเทียมในเรื่องของการประกอบอาชีพและค่าแรง จะเห็นถึงความไม่เสมอภาคกันเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน

 
นอกจากนี้ ในยุคโมเดิร์น ยังให้ความสำคัญในเรื่องของความเจริญ และการพัฒนาในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี.ยุคโพสท์โมเดิร์นบอกว่าไม่จำเป็นเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือที่ทำลายธรรมชาติ ทั้งความเป็นมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ฉะนั้น การรณรงค์ต่างๆซึ่งเกิดขึ้นในช่วงหลังสมัยใหม่นี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของนิเวศวิทยา เรื่องสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ เรื่องของสิทธิสตรี เรื่องอะไรต่างๆเหล่านี้ทั้งหมด เป็นความคิดที่ against ต่อยุคโมเดิร์น 
 
มุมมองทางด้านวรรณกรรมลักษณะสำคัญของ modernism  ประกอบด้วย
     1. เน้นเรื่องความรู้สึกล้วนๆ-impressionism และการเขียนในเชิงนามธรรม (เช่นเดียวกันงานทัศนศิลป์) การเน้นที่เห็น "อย่างไร" (หรือการอ่านหรือการรับรู้ด้วยตัวมันเอง) มากกว่า "อะไร" ที่มองเห็น ตัวอย่างนี้คือ งานเขียนที่เต็มไปด้วยกระแสของจิตที่มีสำนึก (stream-of-consciousness writing)
     2. ความเปลี่ยนแปลงอันหนึ่ง คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากความรอบรู้ในการบรรยายของบุคคลที่สาม มุมมองที่เฉพาะเจาะจง และเงื่อนไขทางศีลธรรมที่ชัดเจน เช่น เรื่องราวการบรรยายของ Faulkner เป็นตัวอย่างหนึ่งของแนวเขียนแบบ modernism.
     3. ความกำกวมของความแตกต่างระหว่างเรื่องราวที่เคยสามารถอ่านได้จากภาพ กับบทกลอน ที่เพิ่มความเป็นสารคดี (เช่นงานเขียนของ T.S. Eliot ) และบทรอยแก้ว ที่ค่อนไปทางโคลงกลอนมากขึ้น (เช่นงานเขียนของ Woolf หรือ Joyce)
    4. เน้นรูปแบบที่แยกออกเป็นส่วนๆ การบรรยายเรื่องราวที่ไม่ต่อเนื่องและการสุมรวมปะติดปะต่อของสิ่งที่แตกต่างกัน
     5. โอนเอียงในทำนองการสะท้อนกลับ หรือรู้สำนึกได้ด้วยตัวเอง ที่เกี่ยวข้องกับงานศิลปะ เพื่อที่งานแต่ละชิ้นจะได้เรียกร้องความสนใจเฉพาะตามสถานะของการรังสรรค์ในวิธีการที่เป็นพิเศษ
    6. รูปแบบทางสุนทรีย์เน้นที่ความน้อยสุด (minimalist designs ..เช่นในงานประพันธ์ของ William Carlos Williams) ส่วนใหญ่ปฏิเสธทฤษฎีสุนทรีย์ศาสตร์ที่เคร่งครัดแบบเดิม สนับสนุนการสร้างสรรค์ที่เกิดจากการค้นพบด้วยตนเองตามธรรมชาติ
    7. ปฏิเสธการแยกเป็นสองขั้ว เช่น สูง และ ต่ำ หรือวัฒนธรรมยอดนิยมเดิมๆ ในการเลือกใช้วัสดุในการผลิตงานศิลปะ และวิธีการนำเสนอ การเผยแพร่ และการบริโภคของงานศิลปะ
 
 ลักษณะศิลปะ Post modern
 
 
 
 1. การปฏิเสธศูนย์กลาง ซึ่งก็คือ การปฏิเสธอำนาจครอบงำ เน้นชายขอบซอกมุม เพื่อปลดเปลื้องการครอบงำทางเวลา เทศะและอัตลักษณ์ที่ยังหลงเหลืออยู่ ดังปรากฏในสถาปัตยกรรมจำนวนมากที่เลิกเน้นศูนย์กลาง
2. การปฏิเสธความเป็นเอกภาพ หรือ องค์รวม ภาพเขียนหรือสถาปัตยกรรมจึงไม่จำเป็นต้องจบสมบูรณ์ อาจเป็นหลายเรื่องซ่อนเร้นกัน
3. Post modern คัดค้านโครงสร้าง ระเบียบ ลำดับ ไม่ยึดติดกับโครงสร้างเพราะถือได้ว่าเป็นแนวคิดหลังโครงสร้างนิยม
4. Post modern ปฏิเสธจุดเริ่มต้น จึงปฏิเสธประวัติศาสตร์แต่โหยหาอดีต เนื่องจากความไม่มั่นคงทางอัตลักษณ์ อดีตของพวกเขาไม่ใช่ประวัติศาสตร์ แต่เป็นการทำลายประวัติศาสตร์เพราะมันถูกนำมาอยู่ในปัจจุบันหรือหลุดไปจากบริบทอย่างสิ้นเชิง
     ความคิดโพสต์โมเดิร์นเป็นทั้งการวิพากษ์และการตั้งคำถามที่มีต่อโลกแบบโมเดิร์นของตะวันตก ซึ่งมองว่าการสร้างสังคมสมัยใหม่ของโลกตะวันตกที่ได้กำเนินมานั้นไม่ได้พัฒนาความสุข การหลุดพ้น หรือชีวิตที่เป็นเหตุเป็นผล อย่างที่กล่าวอ้างกัน เป็นเพียงการสร้างวาทกรรมผ่านภาษา เพียงเพื่อครอบงำสังคมอื่นเพื่อชิงความได้เปรียบในหลายปัจจัย 
 
ศิลปะแบบ หลังสมัยใหม่
 
         เติบโตขึ้นจาก พ็อพ อาร์ต (Pop Art),  คอนเซ็ปชวล อาร์ต (Conceptual Art) และ เฟมินิสต์ อาร์ต (Feminist art) อันเป็นนวัตกรรมของศิลปินในยุคคริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970 โดยแท้ พวก หลังสมัยใหม่ ได้ทำการรื้อฟื้นรูปแบบ ประเด็นสาระ หรือเนื้อหาหลายอย่างที่พวกสมัยใหม่เคยดูหมิ่นและรังเกียจที่จะเข้าไปเกี่ยวข้อง โรเบิร์ต เว็นทูรี (Robert Venturi) สถาปนิกในยุค 1960 ได้เขียนแสดงความเห็นในงานเขียนที่ชื่อ “คอมเพล็กซิตี้ แอนด์ คอนทราดิคชัน อิน อาร์คิเทคเจอร์” (Complexity and Contradiction in Architecture) (ปี 1966) เกี่ยวกับ “หลังสมัยใหม่” เอาไว้ว่า “คือปัจจัย (ต่างๆ) ที่เป็น “ลูกผสม” แทนที่จะ “บริสุทธิ์”, “ประนีประนอม” แทนที่จะ “สะอาดหมดจด”, “คลุมเครือ” แทนที่จะ “จะแจ้ง”, “วิปริต” พอๆกับที่ “น่าสนใจ”
        ด้วยกระแส ลัทธิหลังสมัยใหม่ ทำให้ศิลปะในแนวคิดนี้หันกลับไปหาแนวทางดั้งเดิมบางอย่างที่พวกสมัยใหม่ (ที่ทำงานแนวนามธรรม) ปฏิเสธไม่ยอมทำ เช่น การกลับไปเขียนรูปทิวทัศน์และรูปเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ และพวก หลังสมัยใหม่ ยังท้าทายการบูชาความเป็นต้นฉบับ ความเป็นตัวของตัวเองที่ไม่เหมือนใครของพวกสมัยใหม่ ด้วยการใช้วิธีการที่เรียกว่า “หยิบยืมมาใช้” (Appropriation, แอ็บโพรพริเอชัน) มาฉกฉวยเอารูปลักษณ์ต่างๆ จากสื่อและประวัติศาสตร์ศิลป์ มานำเสนอใหม่ในบริบทที่เปลี่ยนไปบ้าง ในเชิงวิพากษ์วิจารณ์บ้าง เสียดสีบ้าง
 
 
สังคมไทยยุคโพสต์โมเดิร์น
 
      สำรวจดูนักวิชาการไทยที่คนไทยรู้จักมากที่สุด เห็นจะไม่พ้นมีชื่อของธีรยุทธ บุญมี ติดอยู่ในอันดับต้นๆสังคมไทยรู้จักเขามาตั้งแต่เขายังเป็นนักศึกษาในยุคสมัยที่นักศึกษาเป็นความหวังสร้างสังคมใหม่ เมื่อเขานำเพื่อนนักศึกษาต้านสินค้าญี่ปุ่นก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ไม่กี่ปี และต่อเนื่องนับจากนั้นในฐานะผู้นำนักศึกษาผู้เรียกร้องเอกราชประชาธิปไตยเขานั่งเป็นอาจารย์คณะสังคมวิทยามานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มาแล้วหลายปี ยังคงศึกษาค้นคว้า และสะกิดสะเกานักการเมืองบ้างเป็นครั้งคราว และยังคงสร้างสรรค์งานศิลปะเป็นอดิเรก และเมื่อถึง พ.ศ.2546 คณะกรรมการ "กองทุนศรีบูรพา" พิจารณาให้เขาเป็น 1 ใน 2 ของผู้ที่สมควรได้รับรางวัลศรีบูรพา ซึ่งเป็นรางวัลที่ตั้งขึ้นเพื่อเชิดชูนักคิดนักเขียนที่มีผลงานทรงคุณค่า และมีแบบอย่างชีวิตที่ดีงาม ซึ่งมีกำหนดมอบรางวัลในวันที่ 5 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ เขากล่าวถึงการได้รางวัลนี้กับ "เนชั่นสุดสัปดาห์" ว่า "ผมถือว่าเป็นหลักไมล์ของผม รู้สึกเป็นเกียรติ เป็นจุดที่ทำให้เราได้ข้อสรุปที่ชัดเจนขึ้นว่า ชีวิตที่เดินมามันถูกทาง ชีวิตที่เดินมาของผม คือชีวิตที่อยากจะศึกษาค้นคว้าความคิด ถ่ายทอดความคิด เป็นนักคิด อย่างที่มีคนพูดถึงกันบ้าง ที่ผ่านมาเราก็ทำหน้าที่เหล่านี้ให้แก่สังคม ศึกษาค้นคว้าค่อนข้างหนัก และผมก็ยังทำต่อไป" และงานทางวิชาการของเขาชิ้นล่าสุดซึ่งออกมาเป็นหนังสือชุด ความรู้บูรณาการและถอดรื้อ ความคิดตะวันตกนิยม แบ่งเป็น 3 เล่ม ประกอบด้วย
      1.ความหลากหลายของชีวิต ความหลากหลายทางวัฒนธรรม
      2.โลก Modern & Post Modern และ
      3.ถอดรื้อปรัชญาและศิลปะแบบตะวันตกเป็นศูนย์กลาง ก็เป็นที่ฮือฮาในหมู่นักศึกษาที่รักในความรู้ เมื่อเขาวางตัวเองเป็นนักคิด ผลงานชิ้นนี้ ก็คือหลักไมล์อันโดดเด่นบนเส้นทางความคิดของเขาที่มีต่อโลก และเชิญชวนคุณๆ ให้รู้จักโลกด้วยการถอดรื้อ... อย่างไรที่เรียกว่า โลกยุคหลังสมัยใหม่ (Post Modern) หลังอาณานิคม (Post Colonial) และหลังตะวันตก (Post Western)
       โลกยุคโมเดิร์น คือการบรรยายถึงโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในเรื่องของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เรื่องเศรษฐกิจ คือเป็นเศรษฐกิจแบบทุนนิยมอุตสาหกรรมนิยม ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการพัฒนาขึ้นของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และยังหมายถึงระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย แบบที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยมีแนวคิดเรื่องสิทธิเสรีภาพ การแสดงออก การเป็นอธิการ (subject) ของความรู้ คุณธรรม พฤติกรรม การกระทำของคน พูดง่ายๆ คนต้องรับผิดชอบความรู้หรือการกระทำของตัวเอง
       ลักษณะเช่นนี้ของโมเดิร์น มีพื้นฐานจาก 2 ส่วน หนึ่งคือ มันถูกผลิตจากนักคิดหรือวัฒนธรรมของตะวันตก แต่ทั้งนี้ ถ้าโดยประวัติศาสตร์แล้วก็ต้องบอกว่า เกิดจากการหยิบยืมวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี หรือความคิดบางส่วนจากโลกมุสลิม จากเกาหลี จากอินเดีย เปอร์เซียฯ อีกทีหนึ่ง ประการที่สอง ก็คือ ความรู้แบบตะวันตกพยายามที่จะอ้างตัวเองว่าเป็นสากลที่ใช้ได้ทั่วไป เป็นความถูกต้องกับมนุษย์ทุกคน เพราะฉะนั้นความคิดแบบนี้ก็เป็นความคิดอันเป็นพื้นฐานเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตะวันตกในการจะออกไปทำในสิ่งที่เรียกว่าภารกิจสร้างความศิวิไลซ์ (civilizing mission) หรือภารกิจในการไปพัฒนาให้คนอื่นเจริญ หลังจากที่การล่าอาณานิคมถูกต้านทาน จนประเทศอาณานิคมทะยอยได้รับเอกราชเมื่อกลางศตวรรษ จึงต้องเปลี่ยนการเข้าไปมีบทบาทในประเทศเหล่านั้นในนามของการพัฒนา นี่คือลักษณะของโมเดิร์น
       ส่วนโพสต์ โมเดิร์น ก็คือการตั้งคำถามกับโมเดิร์น การที่มีคนใช้คำว่า โพสต์โมเดิร์น คุณประโยชน์ที่สำคัญก็คือ มันทำให้เราสามารถหวนกลับไปมองสังคมโมเดิร์นหรือพฤติกรรมที่ผ่านมาของมนุษย์ หรือความคิดความเชื่อของเราอย่างเป็นอิสระมากขึ้น เพราะถ้าเราไม่บอกว่า "โพสต์" โมเดิร์น เราก็จะยังจะอยู่ในกรอบของโมเดิร์น หรือยังให้มันครอบเราอยู่ ให้เรารู้สึกว่ายังจะต้องก้าวไปข้างหน้า ไปสู่ความเจริญ ยึดถือลัทธิความก้าวหน้า ซึ่งเป็นมิติที่ควบคู่กับ civilizing mission ของตะวันตก การบอกว่าโลกเป็น โพสต์ โมเดิร์น หรือเป็นโลกหลังสมัยใหม่ ในเชิงการเมืองนอกจากจะทำให้มนุษย์สามารถมองโลกสมัยใหม่อย่างอิสระ เพื่อวิพากษ์วิจารณ์มันได้ชัดเจนมากขึ้นมองมันถนัดขึ้น ในทางความรู้ก็ทำให้หลุดพ้นจากกรอบ สมมติฐานแบบโมเดิร์น อย่างเช่น ปรัชญาความเป็นสากล ปรัชญาความก้าวหน้า หรือปรัชญาประเภทที่ต้องมีแก่นแท้ มั่นคง ถาวร เป็นอมตะ ซึ่งเอามาจากคริสต์ศาสนา เรื่องวิญญาณ เรื่องพระเจ้า หรือจากกรีกที่เรียกว่าภาวะอุดมคติ เป็นต้น เพราะฉะนั้นตัวปรัชญาโพสต์ โมเดิร์น จึงเป็นตัวปรัชญาที่
แย้งกับความเป็นสากล หรือความเป็นแก่นแท้ที่ขัดแย้งไม่ได้ ล้มล้างไม่ได้ ถกเถียงไม่ได้
         ที่มาของปรัชญาแบบโพสต์ โมเดิร์นมาอย่างไร ประมาณ 1900 เศษๆ จากปรัชญาภาษาศาสตร์ ก็เกิดเป็นปรัชญาโพสต์ โมเดิร์นขึ้น จนเป็นกระแสแรงในราวทศวรรษ 1950 ปรัชญาที่บอกว่า ภาษามันเป็นพื้นฐานของมนุษย์ ความเป็นมนุษย์เกิดจากภาษา มนุษย์จะคิดได้ก็ต้องคิดผ่านภาษา ซึ่งทุกคนสามารถทดสอบดูได้ ไม่ว่าจะคิดอะไรจะมีคำมีภาษาเข้ามา นี่เป็นการปฏิวัติทางปรัชญาครั้งใหญ่ จากที่บอกว่าความคิดสำคัญที่สุด จากที่เคยบอกว่าภาษาเป็นเครื่องมือของความคิดเฉยๆ ทีนี้ภาษากลับมีความสำคัญแล้วเพราะเราจะคิดไม่ได้ถ้าเราไม่มีภาษา ก็เริ่มต้นศึกษาภาษา เข้าใจภาษา และอันนี้ก็จะนำไปสู่ทฤษฎีสัมพัทธนิยม (relativism) ซึ่งอธิบายได้ว่า แต่ละวัฒนธรรมก็จะมีชุดของค่านิยม ภาษาความคิด หรือความรู้ที่ต่างกัน แต่มีค่าเท่ากัน เพราะสามารถเป็นตัวแทนของความรู้ได้เหมือนกัน อีกอันที่เป็นกลางๆ มาหน่อยก็อาจจะบอกว่า มันเป็นอย่างนั้นจริง แต่พอจะแปลกันได้ แม้จะไม่สามารถแปลได้อย่างตรงตัว อย่างไรก็ตาม  พอถึงจุดบางอย่างลึกๆ เข้าไป เราจะรู้ว่า มันขึ้นอยู่กับรากเหง้าของคำๆ นั้น อย่างเรายืมคำสันสกฤตมา บางทีคำสันสกฤตก็ไม่ตรงกับที่เราเข้าใจ ยกตัวอย่างเรื่อง Ideal ของกรีก ที่แปลว่าแบบอุดมคติ หรือภาวะสูงสุดที่เพลโตพูด Ideal คำนี้ คือคำเดียวกับ เวดอส คือคำเดียวกับเวทย์-เวทย-วิทยา-วิชชา ที่มีรากเดียวกับสันสกฤต แต่จะเห็นว่า พอไปทางกรีก กลายเป็น แบบมีรูปทรง พอถึงอินเดีย เราก็ไม่แน่ใจว่าอินเดียคิดอย่างไรกับคำว่าวิชชา แต่ของเราวิชชาหมายถึงความรู้ หรือความคิดของเราก็ไม่มีแม่แบบ (form) นะ เราไม่คิดว่า ความคิดของเราเป็นทรงกลมซึ่งสมบูรณ์แบบกรีกคิด เราไม่คิดว่า เรามีความจริงสมบูรณ์ เป็นฟอร์ม เป็นรูปทรงอุดมคติแบบนั้น แต่รากคำที่มานั้นเป็นคำเดียวกัน ซึ่งสะท้อนว่าพื้นฐานของคำซึ่งนำมาซึ่งความเข้าใจของแต่ละวัฒนธรรมนั้นจะต่างกันมาก หรือคำว่า self ของฝรั่ง ที่เราหมายถึงตัวตน คำๆ นี้สำคัญมาก เป็นที่มาหรือเป็นอธิการของความรู้หรือการกระทำของเขานั้น ของเราแต่เดิมไม่มีคำนี้ คำว่า "ตัว" ของเรานั้นหมายถึงร่างกาย เป็นเนื้อๆ หุ้มด้วยหนัง ส่วน "ตน" ของเรา เป็นลักษณะนามของฤาษีหรือยักษ์ เราเอามารวมกันเพื่อจะอธิบายแนวคิดบางอย่าง คำว่า "ตัวตน" ของเราเกิดขึ้นเพื่อเอามาใช้อธิบายแนวคิดพุทธ คือความคิดแต่เดิมคนไทยนั้น ไม่มีสิ่งที่จะมารองรับ กรรม คนไทยจะเชื่อว่า มี "บางอย่าง" ที่มารองรับกรรม ถ้าทำกรรมดี "บางอย่าง" นั้นจะรับผลดี ถ้าทำกรรมชั่ว "บางอย่าง" นั้นจะมารับกรรมชั่ว "บางอย่าง" นั้นนั่นแหละที่เราเอาคำว่า "ตัวตน" มาใช้แทน ซึ่งคล้ายกับ self หรือ subject ของตะวันตก ที่บอกว่าแต่เดิมของไทย หมายถึงในภาษาไตเขิน ไตลื้อ ไตดำ ไตแดง ถ้าทำความผิดก็คือผิดผี เพราะผีเป็นขนบ ผีเป็นกรอบแห่งพฤติกรรมของคน ถ้าทำความผิด ไม่เรียกว่า ผิศีลธรรม แต่เรียกว่า ผิดผี ต้องเสียผี จากนั้นก็หาย ไม่ต้องมีตัวตนไปรับกรรมชั่ว พอเสียผีแล้วความชั่วนั้นก็หาย เริ่มชีวิตใหม่ ลืมกันไปเลย แต่ของเราสมัยนี้ ถ้าทำชั่วนี่ ติดไปนานนะ กลายเป็นคนชั่วจนกว่าจะพิสูจน์อีกเยอะมาก นี่คือพัฒนาการ จะเห็นว่า ปรัชญาหรือภาษามันมีความลึกซึ้งของมันอยู่
       สำนักที่เชื่อว่าพอจะเข้าใจกันได้ หรือภาษาพอจะแปลกันได้ แต่ต้องเข้าใจที่มาที่ไปของมัน เข้าใจความเหมือนความต่าง และยังอยากจะคงความเป็นสากลหรือจุดร่วมกันของมนุษย์ไว้ สำนักนี้ก็จะถือว่าภาษาพอจะแปลได้ เช่น เราแปล Humanism-Humanity มนุษยธรรม-มนุษยภาวะ จากภาษาอังกฤษมาเป็นภาษาไทยได้ เราแปลคำว่า Right มาเป็นคำว่า สิทธิ ได้ มีคำสิทธิมนุษยชนขึ้นมา แล้วควรไหมที่จะยอมรับว่า สิทธิมนุษยชนเป็นสากล เรายอมรับว่าเป็นสากล แต่เป็นการยอมรับว่าเป็นสากลในลักษณะที่ไม่ใช่จิตวิญญาณที่มาจากพระเจ้า แต่ยอมรับความเป็นสากลได้จากหลายๆ อย่าง อาจจะในฐานะที่เป็นจิตสำนึกที่ดีของมนุษย์ หรือเป็นพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่เรารู้ว่า มีการเข่นฆ่ากันมานาน
เข้าใจผิดกันมานาน ดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติ และเราจึงเห็นว่าเราควรจะยอมรับความเป็นสากลในคำๆ นี้ ผมเองก็ค่อนข้างเชื่อแบบนี้นะว่า เราสามารถหาจุดร่วมที่ดีของมนุษย์ได้ นี่ก็เป็นกลุ่มหนึ่ง
       ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งก็คือ พวกหลังสมัยใหม่ไปเลย คือวิพากษ์ รื้อความคิด เสร็จแล้วจะเป็นอะไร เขาอาจจะไม่เสนอชัด เพราะเขาถือว่ามีเยอะอยู่แล้ว ก็ขอถอดขอรื้อให้หมด แล้วจะทำอะไรต่อก็ว่ากันไป ซึ่งในที่สุด ถอด รื้อ แล้วก็ออกมาคล้ายๆ กัน คือเคารพความหลากหลาย เคารพความแตกต่าง ยอมรับความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน สนใจในเรื่องของการกดขี่ในจุดย่อยๆ เช่น เรื่องผู้หญิง เรื่องเด็ก เรื่องผิวสี เรื่องเกย์ เลสเบี้ยน ชนกลุ่มน้อยต่างๆ ที่ถูกกด
      หรือแม้กระทั่งเรื่องที่เราเชื่อกันมามาก เช่น "ชาติ" ที่ทุกคนเชื่อกันว่า ทุกคนเกิดมาพร้อมกับมีชาติ เป็นชาติไทย ลาว จีน สิ่งเหล่านี้ก็ล้วนแต่ถูกถอดรื้อให้เห็นว่า เป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่นะ สมัยก่อนคนอยุธยาก็ไม่รู้สึกว่าเขาเป็นชาติไทยหรอก เขาก็รู้สึกเขาเป็นคนอยุธยา อาจจะเป็นคนไท แต่คำนี้ไม่ได้หมายความจะต้องรักชาติ เคารพสัญลักษณ์ของชาติ สมัยนั้นไม่มี สิ่งเหล่านี้ถูกถอดรื้อโดยกระแสคิดแบบสมัยใหม่ เพื่อให้คนเข้าใจว่า เอ๊ะ! บางทีเราอาจมีความเป็นพลเมืองแบบวัฒนธรรมก็ได้นะ หรือความเป็นพลเมืองแบบภูมิศาสตร์ แบบชาติพันธุ์ ไม่ใช่ชาติอย่างเดียวแบบสมัยนี้ ซึ่งความคิดอย่างนี้ก็ทำให้เกิดความหลากหลายแล้วก็ยืดหยุ่นในการแก้ปัญหามากขึ้น แล้วก็เกิดความยุ่งยากมากขึ้นในบางด้าน จึงไม่แปลกที่ความคิดแบบนี้พวกอนุรักษ์นิยมจะปฏิเสธ
       ทั้งหมดนี้เป็นพื้นฐานของกระแสคิดแบบหลังอาณานิคม และหลังตะวันตก โพสต์ โคโลเนียล ก็รับช่วงต่อมาจากโพสต์ โมเดิร์น หัวใจสำคัญก็คือ มองปัญหาเรื่องความรู้ว่า เป็นเครื่องมือที่เกิดขึ้นมาเพื่อรับใช้โมเดิร์นหรือยุคที่เรียกว่าสมัยใหม่ แต่ปัญหาก็คือ โมเดิร์น มันมีปัญหาเรื่องความไม่เป็นธรรม มีข้อสมมติฐานที่ผิดพลาด เช่น ความเป็นสากล ความเป็นแก่น หรือเช่นบอกว่า ผู้ชายต้องเข้มแข็ง ผู้หญิงต้องอ่อนแอ ซึ่งทำให้เกิดการไม่เคารพในสิทธิผู้หญิง สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้มีการถอดรื้อและการต่อสู้เพื่อสิทธิมันก็ขยายตัวมากขึ้น เมื่อโพสต์ โมเดิร์นช่วยชี้ปัญหาเรื่องความรู้ในยุคโมเดิร์น โพสต์โคโลเนียล ก็เป็นการมองต่อว่า ผู้ที่ตกอยู่ใต้อาณานิคม มันไม่ได้หมดไปพร้อมกับการได้รับเอกราชของประเทศ แต่กลายเป็นตัวตนที่ถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นแบบแผนบางอย่างเป็นแก่นบางอย่างที่ต่ำต้อยกว่าตะวันตก ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ก็จะถูกจัดโครงสร้างแบบตะวันตก มีการจัดยุคเป็นยุคกรีก ยุคคลาสสิค ยุคกลาง ซึ่งเป็นยุคตกต่ำ ส่วนใหญ่ประเทศอื่นก็จะชะงักอยู่ที่ยุคตกต่ำ มีกลุ่มเดียคือตะวันตกที่ "เกิดใหม่" แล้วพัฒนาต่อมาเป็นโมเดิร์น พัฒนาเป็นอะไรต่ออะไร ที่อื่นยังคงติดอยู่กับความล้าหลัง ไสยศาสตร์ ความเชื่องมงาย ซึ่งมืดมน Enlighten จะเห็นว่าศัพท์เหล่านี้ล้วนแต่เป็นศัพท์ที่แสดงความเหนือกว่าของตะวันตก เพื่อสร้างความชอบธรรมว่า ก็สมควรแล้วที่จะทำให้ประเทศต่างๆ ต้องเป็นอาณานิคมโดยปริยาย สมควรแล้วที่จะอยู่ใต้อำนาจการปกครองของตะวันตก แล้วการเสนอภาพผู้หญิงในประเทศเหล่านี้ให้เป็น
ในลักษณะวัตถุทางเพศ อย่างเช่น ฮาเล็ม กลายเป็นภาพของผู้หญิงยั่วสวาท แต่ถ้าไปศึกษาเรื่องพันหนึ่งราตรี จะเห็นเลยว่า ผู้หญิงที่จะไปเป็นคู่ของปัญญาชนมุสลิมเหล่านั้น จะต้องรอบรู้ทางด้านปรัชญา ดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ เพราะยุคนั้น จักรวรรดิมุสลิมรุ่งเรืองมาก แบกแดดนั้นเจริญรุ่งเรืองในขณะที่เมืองหลวงอื่นๆ ของตะวันตกตอนนี้ยังเป็นชนบทอยู่
        สิ่งเหล่านี้ถูกสร้างให้ผิดไปจากความจริง ผู้หญิงในประเทศอาณานิคม จึงเป็นวัตถุทางเพศ ส่วนผู้ชายก็เป็นแรงงาน และนี่คือประเทศที่ตกอยู่ในอาณานิคมเผชิญ พวกโพสต์ โคโลเนียลเขาก็จะถกกันในปัญหาที่เขาเผชิญโดยตรง ประสบการณ์เขาก็จะเป็นชุดหนึ่ง โพสต์ เวสเทิร์นจึงเป็นศัพท์ที่นำมาใช้กับประเทศที่ไม่ได้เป็นอาณานิคมแต่ถูกครอบงำจากตะวันตกอย่างประเทศไทย จริงๆ แล้ว ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากเท่าไร เพราะตะวันตกก็ใช้อิทธิพลทางความคิด ทางวัฒนธรรม ทางอำนาจการเมือง เข้ามามีอิทธิพลต่อเราเหมือนกัน จึงต้องถอดรื้อความคิดที่ฝังลึกและครอบงำเราอยู่ เรามักจะบอกว่า เราต้องภูมิใจที่เราไม่ได้เป็นอาณานิคม เราเป็นชาติเอกราช แต่ความภูมิใจแบบนี้ทำให้โอกาสที่เราจะวิพากษ์วิจารณ์ มีสติ (reflexive) มองดูปัญหาของเราที่บางทีถูกเขาครอบถูกเขากดอยู่จึงน้อยไป มัวแต่ชื่นชมตัวเองว่า เรามีศักดิ์ศรี แต่ที่จริงมันกลับขาดศักดิ์ศรี เพราะพอไปดูความคิดแบบตะวันตกในสังคมไทย จะเห็นว่ามันฝังลึกอยู่ในทุกที่ ในตำรา ในหลักสูตร อยู่ในราชการ ในเทคโนแครต ในการพัฒนาประเทศ อยู่ในฐานรากสำคัญๆของประเทศหมดเลยตอนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมช่วงทางสายไหมนี่มันไม่มีลักษณะวัฒนธรรมที่เหนือกว่าครอบงำหรือ ความสัมพันธ์แบบไม่เท่าเทียมกันนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่พอมาถึงยุคนี้ เนื่องจากความเป็นระบบมันสูง การค้าเศรษฐกิจมีทั้งสิ้นค้าที่ควบคุมตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐาน คมนาคม วัตถุดิบ ตัวการเงิน การลงทุน ยังมีทฤษฎีอีก ค่านิยมอีกว่าต้องเป็นแบบอเมริกัน ต้องเป็นผู้ประกอบการ กล้าลุกขึ้นมาสู้ มาริเริ่ม แต่ถ้าเป็นธุรกิจแบบสนใจสังคมหน่อยอย่างเยอรมัน สนใจวัฒนธรรมหน่อยอย่างญี่ปุ่น หรือแบบเอเชียที่เป็นแบบครอบครัว ก็ถูกมองว่าล้าสมัย เป็นทุนนิยมที่ไม่ดี ตัวความรู้ก็ซึมเข้าไปในตำราเรียนที่ทุกคนต้องเรียน มีผลครอบงำวงกว้างมากกว่าสมัยก่อนที่มีเฉพาะพระที่ได้เรียนอย่างนี้เป็นต้น การถอดรื้อนี่ เพื่อเหลือความเป็นไทย แต่ถ้าบอกว่าไม่ใช่ ก็ให้เหลือความเป็นเอเชียอย่างนั้นใช่ไหม ไม่ใช่ แต่ถอดรื้อเพื่อพ้น อย่าไปสร้างขั้วตรงข้ามว่าจะต้องเป็นตะวันตก-ตะวันออก แต่ที่ยังต้องใช้คำว่า ตะวันตกอยู่ก็เพราะเป็นคำที่สื่อเพื่อความเข้าใจแต่ต้องไปให้พ้นการแบ่งขั้วไม่ว่าจะเป็นคู่ตรงข้ามระหว่างพื้นถิ่นนิยมกับจารีตสมัยใหม่ เทคโนโลยี ต้องไปให้พ้นจากขั้วตรงข้ามเหล่านี้ แต่ในวันนี้จะไปทางไหนยังไม่ชัด แต่คนในสังคมต้องตื่นตัว ต้องใช้สติ มีสติ ถอดรื้อมันเพื่อจะหาว่าไปทางไหนดี ไม่ตายตัว จะไปในทางพื้นถิ่นนิยม เพราะเห็นแล้วว่า เราเสียเปรียบเขามามาก ก็อาจจะนิยมของไทยไปก่อน ถัดไปก็ของเอเชีย หรือมองในเชิงการทหารเห็นอเมริการุกอิรักหนักเหลือเกิน กลัวว่าจะมาเอเชียเมื่อไร มาเวียดนาม เกาหลีเมื่อไร นโยบายต่างประเทศก็อาจจะต้องมีพันธมิตรนี่ก็เป็นเรื่องเฉพาะกิจ แล้วแต่บริบทในแต่ละช่วง แต่ก็วิพากษ์ว่าเพื่อประโยชน์ของใครไปด้วย ใขณะที่การถอดรื้อต่างๆ ทำให้เกิดการเคารพในท้องถิ่นมากขึ้น เคารพความหลากหลายมากขึ้น แต่โลกาภิวัตน์จะครอบไปหมดทำให้ทุกอย่างเป็นหนึ่งเดียว คือมองโลกภิวัฒน์ได้หลายมุม ผมเองไม่เคยมองโลกาภิวัตน์แบบ The End of History หรือ หมดแล้วซึ่งอุดมการณ์อย่างอื่นนอกจากอุดมการณ์เสรีนิยม โลกมันจะเหมือนๆกันไปหมด ซึ่งเป็นทฤษฎีพัฒนาเดิม ที่ว่าโลกจากที่ต่างกันมากจะไหลมารวมกันเหมือนๆ กัน แต่ตอนนี้ทฤษฎีนี้ไม่มีใครเชื่อเลย เพราะพัฒนากันมาตั้งแต่ 1940 กว่าๆ ยิ่งพัฒนายิ่งต่างกัน เกิดลัทธิพื้นฐานนิยม เกิดอะไรต่างๆ ขึ้นมาเยอะแยะ


เพราะฉะนั้นนี่คือความฝันหวานอย่างหนึ่ง ฝันว่าเสรีนิยมจะชนะ จะครอบงำทั้งหมดเป็นอุตสาหกรรมทั้งหมด เป็นแมคโดนัลด์ทั้งหมด คงเป็นฝันแบบอเมริกัน ว่าคนจะเลิกกินข้าวเหนียว ลาบ ส้มตำ มากินแฮมเบอร์เกอร์เหมือนๆ กัน ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้ามองในแง่ของกรอบ โลกาภิวัตน์มันได้ทำให้กรอบสลายตัวไป ถูกทำให้อ่อนลง การมองภาพใหม่ของการร่วมมือกันเป็นเครือข่าย เปิดกว้างขึ้นในเชิงวัฒนธรรม การเกิดขึ้นของภูมิปัญญาท้องถิ่นที่หลากหลาย และชื่นชมซึ่งกันและกัน มีศัพท์อันหนึ่งที่ดีคือ provincialisation ของยุโรป อเมริกา หรือตะวันตก หรือการทำให้ยุโรป อเมริกา ตะวันตก เป็นต่างจังหวัด นี่เป็นคำขวัญของพวกหลังอาณานิคม หลังตะวันตก คือแต่ก่อนตะวันตกเป็นเมืองหลวง อ้างตัวเองว่าเป็นศูนย์กลางอารยธรรม กระแสต้านจึงออกมาว่า ก็ทำให้ทุกคนเป็นต่างจังหวัดหมด ไม่มีใครเป็นศูนย์กลาง ซึ่งกระแสแบบนี้กำลังมา เพราะพลังวัฒนธรรมตะวันตกนี่อ่อนลงไปมาก พลังการเมืองก็อ่อนไปมาก จนต้องหันมาใช้แสนยานุภาพแบบดิบๆ อย่างในกรณีสงครามอิรักครั้งนี้ 
 
 
 อ้างอิง